วิธีป้องกันและกำจัด เพลี้ยไฟ
1) ควรหมั่นตรวจดูกล้วยไม้ในโรงเรือน และเมื่อได้กล้วยไม้ที่จัดหามาใหม่ ควรแยกไว้เพื่อตรวจดูเพลี้ยไฟ ที่อาจติด มากับต้นกล้วยไม้ จนแน่ใจว่าปลอดจาก เพลี้ยไฟ หรือศัตรูพืชชนิดอื่น ๆ จึงค่อยนำเข้าไปแขวนรวมในโรงเรือน
2) เมื่อตรวจพบให้แยกกล้วยไม้ที่มี เพลี้ยไฟ ทำลายออกมาอย่าปล่อยให้อยู่ปะปนกับกล้วยไม้อื่น ๆ บางต้นที่ถูก ทำลายจนทรุดโทรมมากควรเผาทำลายเสีย เพื่อเป็นการตัดวงจรชีวิตของ เพลี้ยไฟ ถ้าต้นกล้วยไม้มีอาการไม่มาก ก็ สามารถใช้สารเคมี รักษาได้
กล้วยไม้
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
จะสังเกตุฝักกล้วยไม้อยากไรว่านำไปเพาะได้แล้ว ?
จะสังเกตุฝักกล้วยไม้อยากไรว่านำไปเพาะได้แล้ว ?
สำหรับการเพาะกล้วยไม้จากฝักนั้น โดยทั่วไป สวนกล้วยไม้จะทำการจดบันทึกทันทีที่ได้ผสมฝักกล้วยไม้นั้น ๆ และเริ่มนับวันเวลา หลังจากติดฝักไปแล้วครับ ซึ่งหลัก ๆ อายุฝักโดยเฉลี่ยจะเป็นไปตามตารางด้านล่างต่อไปนี้
ชนิดกล้วยไม้
|
อายุฝักอ่อน (วัน)
|
อายุฝักแก่ (วัน)
|
Aerides เอื้องกุหลาบ
|
180-200
|
240-300
|
Ascocenda แอสโคเซ็นด้า (ลูกผสมระหว่าง Ascocentrum X Vanda) หรือ
(เข็ม x แวนด้า) |
150-180
|
180-210
|
Ascocentrum สกุลเข็ม เช่น เข็มแดง เข็มแสด
|
180-210
|
240-270
|
Bulbophyllumสกุลสิงโต จำพวกพัด เช่น พัดแดง(Cirrhopetalum lepidum) พัดร่ม (C.auratum)
|
60-90
|
90-110
|
สิงโตนักกล้าม (Bulb. lasiochilum) สิงโตเหยี่ยวเล็ก (Bulb. putidum สิงโตเหยี่ยวใหญ่ (Bulb. fasinator)
|
80-90
|
90-110
|
จำพวกสิงโตสยาม
|
150-180
|
180-240
|
Brassavola nodosa
|
70-75
|
75-150
|
Brassocattleya
|
130-180
|
180-200
|
Brassolaliocattleya
|
130-180
|
180-200
|
Cattleya สกุลแคททรียา และ ลูกผสม
|
130-180
|
180-200
|
Cymbidium สกุลซิมบิเดียม
|
280-360
|
360-380
|
Dendrobium สกุลหวาย ไม้ป่า ไม้พันธุ์แท้ เช่น เอื้องคำ เอื้องแปลงฟัน
เอื้องผาเวียง เอื้องคำนาน |
210-240
45-55 |
360-390
60-70 |
Dendrobium lituiflorum เอื้องสายม่วง
|
150-180
|
180-200
|
Dendrobium phalaenopsis และลูกผสม
|
90-100
|
110-120
|
Dendrobium Jaquelyn Thomas
|
90-100
|
110-120
|
Dendrobium stratiotes และลูกผสม
|
90-100
|
110-120
|
Dendrobium nobile และลูกผสม
|
150-180
|
200-240
|
Doritis pulcherrima สกุล ม้าวิ่ง ม้าบิน แดงอุบล
|
90-120
|
150-180
|
Doritaenopsis ลูกผสม (สกุลม้าวิ่ง x ฟาแลน)
|
90-120
|
150-180
|
Epidendrumอิพิเดนดรัม
|
100-120
|
120-150
|
Epidendrum อิพิเดนดรัมดอกสีส้ม
|
40-50
|
60-90
|
Oncidium ออนซิเดี้ยมดอกใหญ่
|
110-140
|
130-180
|
Oncidium ออนซิเดี้ยมแคระ
|
45-60
|
60-70
|
Phalaenopsis species ฟาแลนนอปซิสพันธุ์ป่า
|
110-120
|
120-180
|
Phalaenopsis hybrids ฟาแลนนอปซิสลูกผสม
|
90-120
|
120-180
|
Paphiopedilumรองเท้านารีใบลาย
|
90-120
|
120-210
|
Paphiopedilum
รองเท้านารีใบเขียว
|
120-180
|
180-240
|
Renanthera สกุลหวายแดง
|
150-180
|
270-300
|
Rhynchostylis สกุลช้าง เช่น ช้างกระ เขาแกะ ไอยเรศ
|
180-250
|
330-360
|
Vanda species แวนด้าพันธุ์ป่า เช่นสามปอย
ฟ้ามุ่ย |
180-195
210-240 |
330-360
330-360 |
Vanda hybrids แวนด้าลูกผสม
|
120-150
|
180-210
|
การออกขวดกล้วยไม้ และ การดูแลลูกไม้หลังออกขวด
การออกขวดกล้วยไม้ และ การดูแลลูกไม้หลังออกขวด
การออกขวดกล้วยไม้ หมายถึง กระบวนการนำกล้วยไม้ที่ขวดที่ได้จากการเพาะพันธุ์เทียม มาทุบขวดให้แตกออกและนำลูกไม้ในขวดมาผึ่งและปลูกใหม่ในภาชนะใหม่ ที่เหมาะสมกับชนิดของกล้วยไม้ชนิดนั้น ๆ ซึ่งมีผลทำให้ กล้วยไม้เติบโตได้ตามปกติในสภาพแวดล้อมภายนอก
จะรู้ได้อย่างไรว่ากล้วยไม้ของเรา พร้อมออกขวดแล้ว ! กล้วยไม้ที่พร้อมออกขวดแล้วนั้น จะมีขนาดใบที่ยาวชนกับเพดานขวด หากพลิกดูก้นขวด จะพบว่า รากของกล้วยไม้นั้น ขดแน่นอยู่เต็มขวด หรือ ในขวดมีปริมาณวุ้นน้อยลง ไม่เพียงพอแก่ลูกไม้ในขวด

****กรณีที่ต้องออกขวดก่อนเวลา****
๏ ลูกไม้ ไม่ยอมโต ถึงแม้จะทิ้งไว้ในขวดนานแล้ว กรณีนี้ให้คิดเลยว่า วุ้นใช้ไม่ได้ นำออกมาเลี้ยงด้านนอกจะดีกว่า
๏ ลูกไม้ในขวดเริ่มมีอาการใบช้ำ หรือ เน่า
๏ ในขวดมีเชื้อรา สีขาว ๆ หรือ สีดำ ปะปน
๏ ลูกไม้ในขวด พลิกคว่ำ วุ้นแตกกระจาย ไม่เป็นกลุ่มก้อน
กรณีที่กล่าวถึงข้างต้น ให้เรานำกล้วยไม้ออกขวดได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ต้นกล้วยไม้ชนขวดครับ หากรีรอ เหตุการณ์ที่ตามมาคือ ตายยกขวด แน่นอนครับ
จะรู้ได้อย่างไรว่ากล้วยไม้ของเรา พร้อมออกขวดแล้ว ! กล้วยไม้ที่พร้อมออกขวดแล้วนั้น จะมีขนาดใบที่ยาวชนกับเพดานขวด หากพลิกดูก้นขวด จะพบว่า รากของกล้วยไม้นั้น ขดแน่นอยู่เต็มขวด หรือ ในขวดมีปริมาณวุ้นน้อยลง ไม่เพียงพอแก่ลูกไม้ในขวด

****กรณีที่ต้องออกขวดก่อนเวลา****
๏ ลูกไม้ ไม่ยอมโต ถึงแม้จะทิ้งไว้ในขวดนานแล้ว กรณีนี้ให้คิดเลยว่า วุ้นใช้ไม่ได้ นำออกมาเลี้ยงด้านนอกจะดีกว่า
๏ ลูกไม้ในขวดเริ่มมีอาการใบช้ำ หรือ เน่า
๏ ในขวดมีเชื้อรา สีขาว ๆ หรือ สีดำ ปะปน
๏ ลูกไม้ในขวด พลิกคว่ำ วุ้นแตกกระจาย ไม่เป็นกลุ่มก้อน
กรณีที่กล่าวถึงข้างต้น ให้เรานำกล้วยไม้ออกขวดได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ต้นกล้วยไม้ชนขวดครับ หากรีรอ เหตุการณ์ที่ตามมาคือ ตายยกขวด แน่นอนครับ

ถึงเวลาลงไม้ลงมือกันแล้วครับ ให้เตรียมอุปกรณ์ง่าย ๆ ดังนี้
1. ตะกร้า กี่ใบก็ได้ เอาไว้ผึ่งลูกไม้ครับ
2. ลวดเกี่ยว (ใช้กรณีออกขวดหวาย หรือแวนดาที่รากไม่พันกันจนยุ่งเหยิง )
3. ฆ้อน ไม่ต้องใหญ่มาก เอาแค่ทุบขวดแตกได้เป็นโอเคครับ
4. หนังสือพิมพ์ เอาไว้พันขวดตอนทุบครับ ป้องกันไว้
5. ขาดไม่ได้เลย ไม้ขวดที่จะนำมาออกขวด
6. ลืมเก็บภาพมาครับ กะละมัง หรือถังน้ำก็ได้ ....
เอาละ มาเริ่มออกขวดกันเถอะ !
ก่อนอื่น ให้เปิดฝาจุกไม้ขวดออกก่อนครับ แล้ววางทิ้งไว้ในสภาพโรงเรือนสักประมาณ 30 - 40 นาที หรือจะลืมไว้เป็นชั่วโมงก็ได้ครับ แต่อย่าลืมออกขวดละ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกไม้ปรับสภาพกับอากาศด้านนอกก่อนครับ จากนีลุย !
1. ตะกร้า กี่ใบก็ได้ เอาไว้ผึ่งลูกไม้ครับ
2. ลวดเกี่ยว (ใช้กรณีออกขวดหวาย หรือแวนดาที่รากไม่พันกันจนยุ่งเหยิง )
3. ฆ้อน ไม่ต้องใหญ่มาก เอาแค่ทุบขวดแตกได้เป็นโอเคครับ
4. หนังสือพิมพ์ เอาไว้พันขวดตอนทุบครับ ป้องกันไว้
5. ขาดไม่ได้เลย ไม้ขวดที่จะนำมาออกขวด
6. ลืมเก็บภาพมาครับ กะละมัง หรือถังน้ำก็ได้ ....
เอาละ มาเริ่มออกขวดกันเถอะ !
ก่อนอื่น ให้เปิดฝาจุกไม้ขวดออกก่อนครับ แล้ววางทิ้งไว้ในสภาพโรงเรือนสักประมาณ 30 - 40 นาที หรือจะลืมไว้เป็นชั่วโมงก็ได้ครับ แต่อย่าลืมออกขวดละ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกไม้ปรับสภาพกับอากาศด้านนอกก่อนครับ จากนีลุย !
สำหรับการผึ่งในตะกร้านั้น ให้ทำเฉพาะกลุ่มพวกสกุล แวนดา สกุลช้าง สกุลเข็ม สกุลรีแนนเทอร่า เอาง่าย ๆ พวกที่มีลำต้นตั้งตรงใบซ้อนกันเป็นรูปตัว V เหมือนอย่างช้าง กับ แวนดา ถือว่าใส่ตะกร้าไว้ก่อนครับ ทิ้งในตะกร้า ราว ๆ 5-8 เดือน เพื่อให้แตกตารากใหม่ ระหว่างรอนี้ให้ปุ๋ยเบา ๆ อย่าง 30-20-10 สลับกับ สูตรเสมอ เพื่อให้ลูกไม้โต เร็ว ขึ้น เมื่อแตกรากสวยโตได้ที่แล้วจึงค่อยนำหนีบลงกระถางนิ้วครับ หรือถ้าใจร้อนจะหนีบเลยก็ได้ครับ ที่ต้องนำ มาผึ่งลงในตะกร้าก่อนก็เพราะว่ามันประหยัดพื้นที่ปลูกเท่านั้นเองครับ...
สำหรับสกุลรองเท้านารี ให้ปลูกลงในตะกร้า ที่มีเครื่องปลูกเตรียมไว้ได้เลยครับ แต่ว่าปริมาณเครื่องปลูกต้องพอเหมาะพอดีกับขนาดของกล้วยไม้ด้วย ถ้าต้นเล็กก็ให้ใช้ภาชนะเล็ก ๆ เครื่องปลูกไม่มาก ตามกันไป หากปลูกในกระถางหรือตระกร้าที่มีพื้นที่ใหญ่เลย รับรองว่าเน่ายกเข่งแน่นอนครับ เหตุที่เน่าก็เพราะความชื้นในเครื่องปลูกมากเกินนั่นเอง !
กรณีของพวกเอื้องสาย และ ฟาแลน ให้หนีบลงนิ้วได้เลย อย่าผึ่งในตะกร้า ไม่เช่นนั้น รากแห้ง ตาย ไม่เหลือครับ อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าผมเอาลวดเกี่ยวมาทำอะไร มาดูกันต่อเลยดีกว่าครับ ภาพด้านล่าง

ขั้นตอนนี้เป็นการนำลวดมาเกี่ยวลูกไม้ออกจากขวด จะทำได้ก็ต่อเมื่อรากขวดลูกไม้ในขวดไม่พันกันแน่นจนเกินไปครับ วิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถนำขวดไปขายต่อได้ เทคนิคเพิ่มเติม ให้เรานำปลายลวดเกี่ยวไปชุบน้ำตาเทียนเสียก่อนครับ เพื่อไม่ให้คมลวดบาดลูกไม้ วิธีนี้มีข้อเสียคือช้า ผู้ออกขวดต้องใจเย็นสุด ๆ ครับ อ่อ ก่อนจะเกี่ยวก็ให้ใส่น้ำเข้าไปในขวดเช่นกันนะครับ เพื่อให้วุ้นหลุดจากลูกไม้ได้โดยง่ายครับ
การดูแลกล้วยไม้ภายหลังออกขวด
ลูกไม้ที่ออกจากขวดนั้น ไม่ว่าชนิดไดก็ตามเปรียบได้ดั่งเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งเดิมที กล้วยไม้ที่อยู่ในขวดจะได้รับความชื้น 100% ทันทีที่ออกจากขวดแล้ว ลูกไม้ต้องทนรับสภาพกับบรรยากาศภายนอกที่มีมวลอากาศหลากหลาย และความชื้นที่ไม่ตายตัว ดังนั้นลูกไม้จึงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควรเลยทีเดียวครับ หากคุณไม่ได้ซื้อลูกไม้ที่ต้องเลี้ยงในสภาพอากาศเย็น ต้องมีลมโกรกตลอดเวลาแล้วละก็ การดูลูกไม้หลังจากออกขวดนั้นก็เป็นเรื่องง่ายดายครับ เพียงจับเคล็ดง่าย ๆ ดังนี้
๏ เมื่อออกขวดแล้ว หากเป็นหวาย ให้จับหนีบนิ้วทันที เพราะกล้วยไม้จำพวกหวายหากแห้งมาก มันก็จะเหี่ยว
และตายครับ กล้วยไม้จำพวกหวายนั้นแห้งง่ายมาก ต้องระวังครับ หากเป็นแวนดา เข็ม ช้าง หรือกล้วยไม้ที่มีใบ เป็นทรง V จะผึ่งในตะกร้า หรือ หนีบนิ้วก็ได้ ส่วนรองเท้านารี และ ซิมบิเดียมต้องปลูกลงในตะกร้าที่มีเครื่องปลูก ของรองเท้าในสัดส่วนที่พอเหมาะ
๏ ลูกไม้ ควรให้ปุ๋ยที่เจือจางกว่าไม้ที่แข็งแรงแล้ว เหมือนเด็กอ่อนครับต้องกินแต่นมไม่ก็อาหารสูตร หากจะให้ฮอ โมนเสริมด้วยก็ให้เจือจางเช่นกัน
๏ การให้น้ำ รดน้ำเพียงเวลาเดียวเช่นเดียวกับการให้น้ำกล้วยไม้ทั่วไป โดยรดให้เป็นละอองคล้ายกับ สเปรย์ หรือ ละอองเบา ๆ หากลูกไม้มีไม่มากจะใช้ฟอกกี้ฉีดก็ได้ครับ
๏ หากเป็นไปได้ควรอยู่ในที่ที่มีหลังคากันฝน หลังคาต้องไม่ทึบมาก มีแสงลอดผ่านได้
๏ ห้ามวางลูกไม้ตากแดดที่แรงจัด หรือ นำไปแขวนในจุดที่ที่มีแสงแดดตอนกลางวันสาดส่องถึง หรือ สถานที่ที่ร้อน จัด มิเช่นนั้น ลูกไม้จะถูกย่างจนสุกได้
๏ พึงระวัง หนู หอยทาก และแมลงกินพืชต่าง ๆ ให้ดี มิเช่นนั้นลูกไม้จะตกเป็นอาหารอันโอชะของมันได้ครับ
๏ กรณีรองเท้านารี ระวังอย่าถูกฝนจัง ๆ บ่อย ๆ ไม่เช่นนั้น โรคเน่าจะถามหา
๏ สำหรับคาลันเท แรก ๆ ลูกไม้อาจจะทิ้งใบไม่เหลือหลอ อย่าเพิ่งทิ้ง รอสักพักเมื่อหัวคาลันเทพักตัวได้ดีแล้วจะผลิ ใบใหม่เอง
หลังจากประคบประหงมไปสักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นลูกไม้แตกรากใหม่ หรือใบใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นละก็ ยินดีด้วยครับ คุณผ่านขั้นประฐมฤกแล้ว ถัดจากนี้จะเป็นขั้นตอนที่ยิ่งลุ้นระทึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ by...http://www.orchidtropical.com/articleid20.ph
สำหรับสกุลรองเท้านารี ให้ปลูกลงในตะกร้า ที่มีเครื่องปลูกเตรียมไว้ได้เลยครับ แต่ว่าปริมาณเครื่องปลูกต้องพอเหมาะพอดีกับขนาดของกล้วยไม้ด้วย ถ้าต้นเล็กก็ให้ใช้ภาชนะเล็ก ๆ เครื่องปลูกไม่มาก ตามกันไป หากปลูกในกระถางหรือตระกร้าที่มีพื้นที่ใหญ่เลย รับรองว่าเน่ายกเข่งแน่นอนครับ เหตุที่เน่าก็เพราะความชื้นในเครื่องปลูกมากเกินนั่นเอง !
กรณีของพวกเอื้องสาย และ ฟาแลน ให้หนีบลงนิ้วได้เลย อย่าผึ่งในตะกร้า ไม่เช่นนั้น รากแห้ง ตาย ไม่เหลือครับ อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่าผมเอาลวดเกี่ยวมาทำอะไร มาดูกันต่อเลยดีกว่าครับ ภาพด้านล่าง

ขั้นตอนนี้เป็นการนำลวดมาเกี่ยวลูกไม้ออกจากขวด จะทำได้ก็ต่อเมื่อรากขวดลูกไม้ในขวดไม่พันกันแน่นจนเกินไปครับ วิธีนี้มีข้อดีคือ สามารถนำขวดไปขายต่อได้ เทคนิคเพิ่มเติม ให้เรานำปลายลวดเกี่ยวไปชุบน้ำตาเทียนเสียก่อนครับ เพื่อไม่ให้คมลวดบาดลูกไม้ วิธีนี้มีข้อเสียคือช้า ผู้ออกขวดต้องใจเย็นสุด ๆ ครับ อ่อ ก่อนจะเกี่ยวก็ให้ใส่น้ำเข้าไปในขวดเช่นกันนะครับ เพื่อให้วุ้นหลุดจากลูกไม้ได้โดยง่ายครับ
การดูแลกล้วยไม้ภายหลังออกขวด
ลูกไม้ที่ออกจากขวดนั้น ไม่ว่าชนิดไดก็ตามเปรียบได้ดั่งเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งเดิมที กล้วยไม้ที่อยู่ในขวดจะได้รับความชื้น 100% ทันทีที่ออกจากขวดแล้ว ลูกไม้ต้องทนรับสภาพกับบรรยากาศภายนอกที่มีมวลอากาศหลากหลาย และความชื้นที่ไม่ตายตัว ดังนั้นลูกไม้จึงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควรเลยทีเดียวครับ หากคุณไม่ได้ซื้อลูกไม้ที่ต้องเลี้ยงในสภาพอากาศเย็น ต้องมีลมโกรกตลอดเวลาแล้วละก็ การดูลูกไม้หลังจากออกขวดนั้นก็เป็นเรื่องง่ายดายครับ เพียงจับเคล็ดง่าย ๆ ดังนี้
๏ เมื่อออกขวดแล้ว หากเป็นหวาย ให้จับหนีบนิ้วทันที เพราะกล้วยไม้จำพวกหวายหากแห้งมาก มันก็จะเหี่ยว
และตายครับ กล้วยไม้จำพวกหวายนั้นแห้งง่ายมาก ต้องระวังครับ หากเป็นแวนดา เข็ม ช้าง หรือกล้วยไม้ที่มีใบ เป็นทรง V จะผึ่งในตะกร้า หรือ หนีบนิ้วก็ได้ ส่วนรองเท้านารี และ ซิมบิเดียมต้องปลูกลงในตะกร้าที่มีเครื่องปลูก ของรองเท้าในสัดส่วนที่พอเหมาะ
๏ ลูกไม้ ควรให้ปุ๋ยที่เจือจางกว่าไม้ที่แข็งแรงแล้ว เหมือนเด็กอ่อนครับต้องกินแต่นมไม่ก็อาหารสูตร หากจะให้ฮอ โมนเสริมด้วยก็ให้เจือจางเช่นกัน
๏ การให้น้ำ รดน้ำเพียงเวลาเดียวเช่นเดียวกับการให้น้ำกล้วยไม้ทั่วไป โดยรดให้เป็นละอองคล้ายกับ สเปรย์ หรือ ละอองเบา ๆ หากลูกไม้มีไม่มากจะใช้ฟอกกี้ฉีดก็ได้ครับ
๏ หากเป็นไปได้ควรอยู่ในที่ที่มีหลังคากันฝน หลังคาต้องไม่ทึบมาก มีแสงลอดผ่านได้
๏ ห้ามวางลูกไม้ตากแดดที่แรงจัด หรือ นำไปแขวนในจุดที่ที่มีแสงแดดตอนกลางวันสาดส่องถึง หรือ สถานที่ที่ร้อน จัด มิเช่นนั้น ลูกไม้จะถูกย่างจนสุกได้
๏ พึงระวัง หนู หอยทาก และแมลงกินพืชต่าง ๆ ให้ดี มิเช่นนั้นลูกไม้จะตกเป็นอาหารอันโอชะของมันได้ครับ
๏ กรณีรองเท้านารี ระวังอย่าถูกฝนจัง ๆ บ่อย ๆ ไม่เช่นนั้น โรคเน่าจะถามหา
๏ สำหรับคาลันเท แรก ๆ ลูกไม้อาจจะทิ้งใบไม่เหลือหลอ อย่าเพิ่งทิ้ง รอสักพักเมื่อหัวคาลันเทพักตัวได้ดีแล้วจะผลิ ใบใหม่เอง
หลังจากประคบประหงมไปสักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นลูกไม้แตกรากใหม่ หรือใบใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นละก็ ยินดีด้วยครับ คุณผ่านขั้นประฐมฤกแล้ว ถัดจากนี้จะเป็นขั้นตอนที่ยิ่งลุ้นระทึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ by...http://www.orchidtropical.com/articleid20.ph
การผสมพันธุ์กล้วยไม้กลุ่มสกุลรองเท้านารี
การผสมพันธุ์กล้วยไม้กลุ่มสกุลรองเท้านารี
ด้วยลักษณะของรูปทรงของ "กระเป๋า" บังอาจไปคล้ายกับรองเท้าสตรีของชาวเนเธอแลนด์ กล้วยไม้ชนิดนี้จึงถูก ขนานนามกันในชื่อ รองเท้านารี รูปร่างที่แปลกทรงของมันนี้กลายเป็นที่สะดุดตาของนักเลงกล้วยไม้หลาย ๆ คน
นอกจากจะมีดอกที่ประหลาดแปลกตาแล้ว ลักษณะของเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียก็ยังแตกต่างไปจากกล้วย ไม้ชนิดอื่น ๆ อีกด้วยเช่นกัน การผสมพันธุ์กล้วยไม้ชนิดนี้จึงต้องพิเศษกว่าใคร ๆ ลองมาดูการผสมพันธุ์กล้วยไม้ ชนิดนี้กันเลยครับ
นอกจากจะมีดอกที่ประหลาดแปลกตาแล้ว ลักษณะของเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียก็ยังแตกต่างไปจากกล้วย ไม้ชนิดอื่น ๆ อีกด้วยเช่นกัน การผสมพันธุ์กล้วยไม้ชนิดนี้จึงต้องพิเศษกว่าใคร ๆ ลองมาดูการผสมพันธุ์กล้วยไม้ ชนิดนี้กันเลยครับ

ตอนนี้นักแสดงของเราพร้อมแล้วครับ ให้เตรียมอุปกรณ์ง่าย ๆ ดังนี้
1. ไม้จิ้มฟัน
2. ป้ายชื่อ เอาไว้จดบันทึกวันที่ที่เราได้ทำการผสมครับ
3. ฟิว เอาไว้มัดป้ายชื่อกับก้านดอก
4. ดินสอ เอาไว้เขียนวันที่ที่จดบันทึกครับ ที่ต้องใช้ดินสอเพราะว่าดินสอเลือนยากกว่าปากกาครับ ปากกาถูกน้ำถูกแดด หมึกก็หลุดเลือนแล้วครับ
1. ไม้จิ้มฟัน
2. ป้ายชื่อ เอาไว้จดบันทึกวันที่ที่เราได้ทำการผสมครับ
3. ฟิว เอาไว้มัดป้ายชื่อกับก้านดอก
4. ดินสอ เอาไว้เขียนวันที่ที่จดบันทึกครับ ที่ต้องใช้ดินสอเพราะว่าดินสอเลือนยากกว่าปากกาครับ ปากกาถูกน้ำถูกแดด หมึกก็หลุดเลือนแล้วครับ
by:http://www.orchidtropical.com/articleid14.php
สภาพแวดล้อมและโรงเรือนในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้
สภาพแวดล้อมและโรงเรือนในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้

สภาพแวดล้อม และโรงเรือนในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้การเลี้ยงกล้วยไม้ โดยทั่วไป สามารถปรับแต่งสภาพแวดล้อมในบริเวณที่เราจะเลี้ยง ได้ไม่ยากนักเนื่อง จากว่ากล้วยไม้ส่วนใหญ่ที่เราปลูกเลี้ยงก็เป็นกล้วยไม้เขตร้อน
เพียงแต่เราเลือกทำเลและช่วยปรับแต่งสภาพแวดล้อมเพื่อบรรเทาความรุนแรงของของสภาพธรรมชาติเช่นช่วยพรางแสงแดด ลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถ ทำให้กล้วยไม้ที่เลี้ยงเจริญงอกงามดี บางครั้งก็สามารถเลี้ยงกล้วยไม้ได้โดยไม่ต้องมีโรงเรือนกล้วยไม้ โดยอาจแขวนไว้ตามชายคา หรือใต้ต้นไม้ได้ แต่ต้องให้ได้รับแสง ความชื้น และการถ่ายเทอากาศ อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
การสร้างโรงเรือนกล้วยไม้ นับเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงควรเลือก เลี้ยงกล้วยไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ที่มีอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการปรับแต่งโรงเรือนไม่ให้สิ้นเปลืองมาก
มักมุงด้วยซาแรน๖o-๗o% เพื่อพรางแสง แต่ก็มีบางแห่งใช้๕o% สำรับกล้วยไม้ตัดดอก เช่นหวาย หรือ ม็อกคารา โรงเรือนยังทำหน้าที่ป้องกันและลดความรุนแรงของลม และฝน และเก็บ ความชื้นในอากาศ ให้สูงกว่าด้านนอกโรงเรือน ส่วนใหญ่ความสูงของโรงเรือนจะอยู่ที่ ๒.๕ - ๓.๕ เมตร โดยใช้เสาปูนคอนกรีตอัดแรง ที่มีขายสำเร็จรูป การแขวน ก็ ใช้ท่อแป็ป ประปา ที่ชุบกันสนิม ขนาด ๔หุน จะพอดีกับขนาดลวดแขวนกล้วยไม้ ทั่วไป(ถ้าใช้ไม้ไผ่ก็ได้ แต่อายุการใช้งานสั้นต้องเปลื่ยนบ่อยและมีมอดกินไม้ด้วย) โดยทั่วไป ควรจะจัดราวแขวนเพื่อแขวนกล้วยไม้ไปในแนวทิศเหนือใต้ (ขวางตะวัน) เพื่อที่ตลอดวันต้นไม้จะได้รับแสงอย่างสม่ำเสมอ และลำต้นหรือช่อดอก จะไม่เอียง คดงอไปหาแสงหากได้รับแสงเพียงด้านเดียว แต่หากสภาพพื้นที่จำกัดเช่นพื้นที่ข้างบ้าน ก็สามารถจัดสภาพโรงเรือนตามแนวของสถานที่ได้

นอกเหนือการแขวนแล้วยังสามารถ ทำโต๊ะ วางกล้วยไม้อยู่ใต้ราวแขวน ได้เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ต้องระวังเวลารดน้ำ ในกรณี ที่มีกล้วยไม้หนาแน่นเต็มพื้นที่ เมื่อสร้างโรงกล้วยไม้ใหม่ๆ สภาพโรงจะสะอาด การถ่ายเทอากาศ ในโรงเรือนยังดีเพราะกล้วยไม้ยังมีไม่มาก แต่เมื่อนานไป กล้วยไม้มีเพิ่มขึ้น แขวนเบียดเสียด ยัดเยียด ก็ทำให้อากาศไหลเวียนน้อยลงเกิดความชื้นสูง ก็มักมีวัชพืชขึ้นในกระถาง และที่พื้นโรง มักพบในโรงกล้วยไม้เก่าๆที่ขาดการดูแล
สำรับผู้ปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรก สามารถ ปลูกกล้วยไม้ในบริเวณบ้านได้โดยปลูกติดกับต้นไม้ยืนต้นในบ้าน หรือทำราวแขวนทำโรงเรือนมุงหลังคาซาแรนอยู่มุมใดมุม หนึ่งของสนามหน้าบ้านที่อากาศถ่ายเทไม่อับลม ถ้ามีกล้วยไม้ไม่มาก อาจแขวนกับกิ่งไม้ได้ แต่ไม่ควร ร่มทึบจนเกินไป เพราะกล้วยไม้จะเจริญเติบโตไม่ดี และไม่ออกดอก บางกรณี สามารถปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ บนดาดฟ้า บนระเบียงตึกได้ แต่ควรพรางแสงไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง ยกเว้นกล้วยไม้บางชนิด ที่สามารถปลูกตากแดด กลางแจ้งได้ เช่นเอื้องโมก แมงปอ(Aracnites spp.) (ต้องรดน้ำให้พอเพียงด้วยถ้ารดน้ำไม่ถึงกล้วยไม้อาจแห้งตายได้)
การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้นั้น โรงเรือน และสภาพแวดล้อม ก็เป็นเพียงปัจจัย ส่วนหนึ่ง เท่านั้นส่วนที่เหลือยังเกี่ยวกับการปฏิบัติดูแลของผู้ปลูกเลี้ยงอีกด้วย
ที่สำคัญ ผู้ปลูกเลี้ยง ควรต้องศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์กล้วยไม้ที่ต้องการนำมาปลูกให้ดี ว่าสามารถปลูกเลี้ยงได้หรือไม่ บางชนิดเป็นกล้วยไม้ที่ขึ้นในป่าพรุมีความชื้นในธรรมชาติเกือบ๑oo% หรือบางชนิดเป็นสายพันธุ์ขึ้นที่ระดับความสูงมากๆ อากาศเย็น ไ ม่สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่ราบ ถึงแม้ว่าจะสร้างโรงเรือนให้ดีเพียงใดก็ตาม
หรือเป็นโรงปิดติดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมความกดอากาศให้เหมือนสภาพภูเขาสูงได้ ดังนั้นจึงควรศึกษาหาข้อมูลบื้องต้น เกี่ยวกับกล้วยไม้ที่จะนำมาปลูกเลี้ยง ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เราจะนำมาปลูก จะมีส่วนช่วยให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ประสบความสำเร็จ by;http://www.orchidtropical.com/articleid53.php
เพียงแต่เราเลือกทำเลและช่วยปรับแต่งสภาพแวดล้อมเพื่อบรรเทาความรุนแรงของของสภาพธรรมชาติเช่นช่วยพรางแสงแดด ลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถ ทำให้กล้วยไม้ที่เลี้ยงเจริญงอกงามดี บางครั้งก็สามารถเลี้ยงกล้วยไม้ได้โดยไม่ต้องมีโรงเรือนกล้วยไม้ โดยอาจแขวนไว้ตามชายคา หรือใต้ต้นไม้ได้ แต่ต้องให้ได้รับแสง ความชื้น และการถ่ายเทอากาศ อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
การสร้างโรงเรือนกล้วยไม้ นับเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงควรเลือก เลี้ยงกล้วยไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ที่มีอยู่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการปรับแต่งโรงเรือนไม่ให้สิ้นเปลืองมาก
มักมุงด้วยซาแรน๖o-๗o% เพื่อพรางแสง แต่ก็มีบางแห่งใช้๕o% สำรับกล้วยไม้ตัดดอก เช่นหวาย หรือ ม็อกคารา โรงเรือนยังทำหน้าที่ป้องกันและลดความรุนแรงของลม และฝน และเก็บ ความชื้นในอากาศ ให้สูงกว่าด้านนอกโรงเรือน ส่วนใหญ่ความสูงของโรงเรือนจะอยู่ที่ ๒.๕ - ๓.๕ เมตร โดยใช้เสาปูนคอนกรีตอัดแรง ที่มีขายสำเร็จรูป การแขวน ก็ ใช้ท่อแป็ป ประปา ที่ชุบกันสนิม ขนาด ๔หุน จะพอดีกับขนาดลวดแขวนกล้วยไม้ ทั่วไป(ถ้าใช้ไม้ไผ่ก็ได้ แต่อายุการใช้งานสั้นต้องเปลื่ยนบ่อยและมีมอดกินไม้ด้วย) โดยทั่วไป ควรจะจัดราวแขวนเพื่อแขวนกล้วยไม้ไปในแนวทิศเหนือใต้ (ขวางตะวัน) เพื่อที่ตลอดวันต้นไม้จะได้รับแสงอย่างสม่ำเสมอ และลำต้นหรือช่อดอก จะไม่เอียง คดงอไปหาแสงหากได้รับแสงเพียงด้านเดียว แต่หากสภาพพื้นที่จำกัดเช่นพื้นที่ข้างบ้าน ก็สามารถจัดสภาพโรงเรือนตามแนวของสถานที่ได้

นอกเหนือการแขวนแล้วยังสามารถ ทำโต๊ะ วางกล้วยไม้อยู่ใต้ราวแขวน ได้เพื่อเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ต้องระวังเวลารดน้ำ ในกรณี ที่มีกล้วยไม้หนาแน่นเต็มพื้นที่ เมื่อสร้างโรงกล้วยไม้ใหม่ๆ สภาพโรงจะสะอาด การถ่ายเทอากาศ ในโรงเรือนยังดีเพราะกล้วยไม้ยังมีไม่มาก แต่เมื่อนานไป กล้วยไม้มีเพิ่มขึ้น แขวนเบียดเสียด ยัดเยียด ก็ทำให้อากาศไหลเวียนน้อยลงเกิดความชื้นสูง ก็มักมีวัชพืชขึ้นในกระถาง และที่พื้นโรง มักพบในโรงกล้วยไม้เก่าๆที่ขาดการดูแล
สำรับผู้ปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรก สามารถ ปลูกกล้วยไม้ในบริเวณบ้านได้โดยปลูกติดกับต้นไม้ยืนต้นในบ้าน หรือทำราวแขวนทำโรงเรือนมุงหลังคาซาแรนอยู่มุมใดมุม หนึ่งของสนามหน้าบ้านที่อากาศถ่ายเทไม่อับลม ถ้ามีกล้วยไม้ไม่มาก อาจแขวนกับกิ่งไม้ได้ แต่ไม่ควร ร่มทึบจนเกินไป เพราะกล้วยไม้จะเจริญเติบโตไม่ดี และไม่ออกดอก บางกรณี สามารถปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ บนดาดฟ้า บนระเบียงตึกได้ แต่ควรพรางแสงไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง ยกเว้นกล้วยไม้บางชนิด ที่สามารถปลูกตากแดด กลางแจ้งได้ เช่นเอื้องโมก แมงปอ(Aracnites spp.) (ต้องรดน้ำให้พอเพียงด้วยถ้ารดน้ำไม่ถึงกล้วยไม้อาจแห้งตายได้)
การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้นั้น โรงเรือน และสภาพแวดล้อม ก็เป็นเพียงปัจจัย ส่วนหนึ่ง เท่านั้นส่วนที่เหลือยังเกี่ยวกับการปฏิบัติดูแลของผู้ปลูกเลี้ยงอีกด้วย
ที่สำคัญ ผู้ปลูกเลี้ยง ควรต้องศึกษาเกี่ยวกับสายพันธุ์กล้วยไม้ที่ต้องการนำมาปลูกให้ดี ว่าสามารถปลูกเลี้ยงได้หรือไม่ บางชนิดเป็นกล้วยไม้ที่ขึ้นในป่าพรุมีความชื้นในธรรมชาติเกือบ๑oo% หรือบางชนิดเป็นสายพันธุ์ขึ้นที่ระดับความสูงมากๆ อากาศเย็น ไ ม่สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่ราบ ถึงแม้ว่าจะสร้างโรงเรือนให้ดีเพียงใดก็ตาม
หรือเป็นโรงปิดติดเครื่องปรับอากาศ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมความกดอากาศให้เหมือนสภาพภูเขาสูงได้ ดังนั้นจึงควรศึกษาหาข้อมูลบื้องต้น เกี่ยวกับกล้วยไม้ที่จะนำมาปลูกเลี้ยง ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เราจะนำมาปลูก จะมีส่วนช่วยให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ประสบความสำเร็จ by;http://www.orchidtropical.com/articleid53.php
การผสมพันธุ์เกสรกล้วยไม้

ในธรรมชาติ ผู้ผสมเกสรกล้วยไม้ก็คงหนีไม่พ้นแมลงละครับ แต่ใน ทางศัลยกรรม ก็คงหนีไม่พ้นมือมนุษย์ นับว่าเป็นสิ่งโชคดีที่กล้วยไม้มี เกสรเพศผู้เพศเมียใหญ่ที่สุดในบรรดาเชื้อสายพืชทั้งหมดทั้งมวล เรา จึงสามารถผสมสายพันธุ์ของกล้วยไม้ได้โดยง่าย และไม่ต้องกังวลว่า จะมีอับระอองเรณูของกล้วยไม้ชนิดอื่นมาปะปนกับชนิดที่เราผสมไป *** ภาพผึ้งที่กำลังติดฝักกล้วยไม้ สังเกตุบนหลังของมันดี ๆ เม็ดสี เหลือง ๆ ที่มันแบก คือเกสรตัวผู้ครับ กล้วยไม้ที่บานเต็มที่จะส่งกลิ่นหอมเย้ายวนหลอกล่อแมลงเพื่อให้พวกมันมุดเข้าไปกินน้ำหวาน เมื่อแมลงมุดเข้าไปกินน้ำหวาน ทันทีที่แมลงสะกิดเพียงเบา ๆ ตรงหมุดเกสร เกสรตัว ผู้ก็จะหลุดติดหลังของแมลงทันที
ซึ่งระบบนี้ทำงานคล้ายกับกับดักเลยทีเดียว และเมื่อแมลงบินไปยังดอกไม้ดอกอื่นเกสรตัวผู้ที่ติดอยู่บนหลังของมันก็จะไปสัมผัสกับเมือกของเกสรตัวเมียของดอกไม้ดอกอื่นและติดหนึบอยู่อย่างนั้น เพียงเท่านี้กล้วยไม้ก็ถูกผสมพันธุ์แล้วละครับ
****หากที่บ้านของคุณมีกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิดและมีแมลงภู่บินอยู่ ลองสังเกตุติดตามมันให้ดีๆแมลงภู่พวกนี้จะชอบน้ำหวานจากดอกกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิดมาก และบางครั้ง เราจะพบว่าที่บริเวณส่วนคอของมันจะมีเกสรตัวผู้ของกล้วยไม้ ติดเต็มไปหมด และที่แปลก เมื่อมันมุดเข้าไปในดอกไม้1ดอกเกสรก็จะหลุดติดเพียง1อันเท่านั้น !
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ไม้จิ้มฟัน (อาวุธหากินของฟาร์มกล้วยไม้เลยละครับ) เหตุผลคือ มันสะอาดกว่าไม้ที่เก็บได้ทั่วไป...
2. ป้ายชื่อ ใช้สำหรับเขียนชื่อชนิดที่ผสม และ ว/ด/ป ที่ผลิตครับ !!
3. ดินสอ 2b (หรือเข้มกว่า เพื่อตัวหนังสือที่ติดทนนานไม่เลือนจนลืม) ***ถ้าใช้ปากหมึกของปากกาที่ถูกน้ำบ่อย ๆ ประกอบกับถูกแสงแดดแผดเผา มันจะเลือนเอาเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ครับ
4. ลวดฟิว หรือ สายไฟเส้นเล็ก ๆ ก็ได้ครับ (ถ้าลวดทั่วไปมันจะบาดโคนดอกได้) เอาไว้แขวนป้ายชื่อติดกับดอกครับ
6. พันธุ์ไม้ที่ต้องการผสม
พร้อมแล้วลุยโลด!!

ขั้นตอนที่ 1 ให้เรานำไม้จิ้มฟัน เขี่ยดึงเจ้าเกสรตัวผู้ที่หลบอยู่ด้านในหมวกเกสรนี้ออกมาครับ เขี่ยมาแล้วจะได้ก้อนสีเหลือง กลม ๆ 2 ก้อน ติดมาเหมือนในภาพครับ
ขั้นตอนที่ 2 นำก้อนเหลือง ๆ นี้ ใส่เข้าไปด้านใต้ที่เห็นในภาพครับ ในนั้นจะมีเมือกเหนียว ๆ อยู่ ให้เราดันเกสรตัวผู้เข้าไปลึก ๆ เลยครับ ป้องกันว่าเวลาเส้าเกสรบีบตัวจะได้ไม่หลุดออกมา การผสมแบบนี้ใช้ได้กับ กล้วยไม้ทุกสกุล ยกเว้นรองเท้านารีที่พิเศษกว่าชาวบ้านครับ
เสร็จแล้วก็แขวนป้ายชื่อบอกด้วยว่า ผสมอะไรไป เช่น แวนดาใบร่อง x แวนดาฟ้ามุ่ย ตามด้วยวันที่ ผสม 27/03/53 เป็นต้น
เกร็ด : ชื่อผสมที่เราเขียนในป้ายนั้น ชื่อที่อยู่ด้านซ้าย จะหมายถึงชื่อแม่พันธุ์ และชื่อทางด้านขวา จะหมายถึงพ่อพันธุ์ครับ โดยเราจะนำเครื่องหมาย X ขั้นระหว่างกลางของพ่อแม่พันธุ์ที่ผสม เช่น ต้นแม่เป็นแวนดาใบร่อง ต้นพ่อเป็นฟ้ามุ่ย เราจะเขียนว่า แวนดาใบร่อง x ฟ้ามุ่ย เป็นต้น
TIP : ในการผสมเกสร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดอกถึงเวลาผสมแล้ว กรณีนี้ให้ดูดอกของกล้วยไม้ครับ เราจะผสมเกสรกล้วยไม้ก็ต่อเมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว อย่างน้อย 2-3 วันก็ผสมได้แล้วครับ ผมเคยลองแงะดอกที่ตูมมาผสมแล้ว ก็ยังผสมติดเหมือนกันครับ ไม่มีข้อจำกัด ว่าจะติดตอนไหน เว้นเสียว่า มันเหี่ยวจวนจะร่วงอยู่แล้ว แล้วไปติดเกสร แบบนี้ก็ร่วงแน่นอนครับ !
****หากที่บ้านของคุณมีกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิดและมีแมลงภู่บินอยู่ ลองสังเกตุติดตามมันให้ดีๆแมลงภู่พวกนี้จะชอบน้ำหวานจากดอกกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิดมาก และบางครั้ง เราจะพบว่าที่บริเวณส่วนคอของมันจะมีเกสรตัวผู้ของกล้วยไม้ ติดเต็มไปหมด และที่แปลก เมื่อมันมุดเข้าไปในดอกไม้1ดอกเกสรก็จะหลุดติดเพียง1อันเท่านั้น !
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ไม้จิ้มฟัน (อาวุธหากินของฟาร์มกล้วยไม้เลยละครับ) เหตุผลคือ มันสะอาดกว่าไม้ที่เก็บได้ทั่วไป...
2. ป้ายชื่อ ใช้สำหรับเขียนชื่อชนิดที่ผสม และ ว/ด/ป ที่ผลิตครับ !!
3. ดินสอ 2b (หรือเข้มกว่า เพื่อตัวหนังสือที่ติดทนนานไม่เลือนจนลืม) ***ถ้าใช้ปากหมึกของปากกาที่ถูกน้ำบ่อย ๆ ประกอบกับถูกแสงแดดแผดเผา มันจะเลือนเอาเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ครับ
4. ลวดฟิว หรือ สายไฟเส้นเล็ก ๆ ก็ได้ครับ (ถ้าลวดทั่วไปมันจะบาดโคนดอกได้) เอาไว้แขวนป้ายชื่อติดกับดอกครับ
6. พันธุ์ไม้ที่ต้องการผสม
พร้อมแล้วลุยโลด!!

ขั้นตอนที่ 1 ให้เรานำไม้จิ้มฟัน เขี่ยดึงเจ้าเกสรตัวผู้ที่หลบอยู่ด้านในหมวกเกสรนี้ออกมาครับ เขี่ยมาแล้วจะได้ก้อนสีเหลือง กลม ๆ 2 ก้อน ติดมาเหมือนในภาพครับ
ขั้นตอนที่ 2 นำก้อนเหลือง ๆ นี้ ใส่เข้าไปด้านใต้ที่เห็นในภาพครับ ในนั้นจะมีเมือกเหนียว ๆ อยู่ ให้เราดันเกสรตัวผู้เข้าไปลึก ๆ เลยครับ ป้องกันว่าเวลาเส้าเกสรบีบตัวจะได้ไม่หลุดออกมา การผสมแบบนี้ใช้ได้กับ กล้วยไม้ทุกสกุล ยกเว้นรองเท้านารีที่พิเศษกว่าชาวบ้านครับ
เสร็จแล้วก็แขวนป้ายชื่อบอกด้วยว่า ผสมอะไรไป เช่น แวนดาใบร่อง x แวนดาฟ้ามุ่ย ตามด้วยวันที่ ผสม 27/03/53 เป็นต้น
เกร็ด : ชื่อผสมที่เราเขียนในป้ายนั้น ชื่อที่อยู่ด้านซ้าย จะหมายถึงชื่อแม่พันธุ์ และชื่อทางด้านขวา จะหมายถึงพ่อพันธุ์ครับ โดยเราจะนำเครื่องหมาย X ขั้นระหว่างกลางของพ่อแม่พันธุ์ที่ผสม เช่น ต้นแม่เป็นแวนดาใบร่อง ต้นพ่อเป็นฟ้ามุ่ย เราจะเขียนว่า แวนดาใบร่อง x ฟ้ามุ่ย เป็นต้น
TIP : ในการผสมเกสร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดอกถึงเวลาผสมแล้ว กรณีนี้ให้ดูดอกของกล้วยไม้ครับ เราจะผสมเกสรกล้วยไม้ก็ต่อเมื่อดอกบานเต็มที่แล้ว อย่างน้อย 2-3 วันก็ผสมได้แล้วครับ ผมเคยลองแงะดอกที่ตูมมาผสมแล้ว ก็ยังผสมติดเหมือนกันครับ ไม่มีข้อจำกัด ว่าจะติดตอนไหน เว้นเสียว่า มันเหี่ยวจวนจะร่วงอยู่แล้ว แล้วไปติดเกสร แบบนี้ก็ร่วงแน่นอนครับ !
ดูยังไงว่ากล้วยไม้ของเราติดฝักแล้ว ?

เมื่อเราผสมเกสรไปแล้ว ดอกกล้วยไม้จะแสดงอาการแพ้ท้องในวันต่อมาครับ ลองดูภาพประกอบด้านบนนะครับ
1. คือภาพรวม ๆ ลองเดาดูซิครับว่าดอกไหนติดฝักไว้เอ่ย ?
2. คือลักษณะของดอกกล้วยไม้ที่ยังไม่ได้รับการผสมเกสร ดอกจะเต่งตึง เส้าเกสระยังคงยาวเรียวผอมเพียวสวย และยังคงมีกลิ่นหอมแรง
3. ลักษณะของดอก 1 วันให้หลังหลังจากผสมเกสร เพียงแค่ 1 วันเราจะสังเกตุอาการได้ทันทีว่าผสมสำเร็จหรือไม่ หากบริเวณเส้าเกสรเริ่มบวมเป่งกลีบดอกเริ่มเปลี่ยนสีต่างไปจากดอกอื่น ๆ แบบนี้แปลว่า อาจจะติด แล้วก็ได้ครับ ในช่วงนี้กลิ่นของเค้าจะเริ่มจางลงเพราะไม่ต้องใช้ล่อแมลงแล้วนั่นเองครับ
4. ผ่านไปราว ๆ 1 สัปดาห์ กลีบจะเริ่มเฉาจนหมด ฐานรองดอกก็จะเปลี่ยนเป็นฝักครับ หากผสมไม่ติดจะกลายเป็นสีเหลืองและร่วงไปในที่สุด
เกร็ด : ในการผสมกล้วยไม้ อายุฝักจะขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด บางชนิดถือฝักเป็นปี บางชนิดถือฝักเพียง 5-6 เดือน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจดวันที่ผสมติดป้ายเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝักแตกก่อน หากฝักแตกแล้ว เราจะไม่สามารถนำส่งเพาะแล็ปกล้วยไม้ได้ !
1. คือภาพรวม ๆ ลองเดาดูซิครับว่าดอกไหนติดฝักไว้เอ่ย ?
2. คือลักษณะของดอกกล้วยไม้ที่ยังไม่ได้รับการผสมเกสร ดอกจะเต่งตึง เส้าเกสระยังคงยาวเรียวผอมเพียวสวย และยังคงมีกลิ่นหอมแรง
3. ลักษณะของดอก 1 วันให้หลังหลังจากผสมเกสร เพียงแค่ 1 วันเราจะสังเกตุอาการได้ทันทีว่าผสมสำเร็จหรือไม่ หากบริเวณเส้าเกสรเริ่มบวมเป่งกลีบดอกเริ่มเปลี่ยนสีต่างไปจากดอกอื่น ๆ แบบนี้แปลว่า อาจจะติด แล้วก็ได้ครับ ในช่วงนี้กลิ่นของเค้าจะเริ่มจางลงเพราะไม่ต้องใช้ล่อแมลงแล้วนั่นเองครับ
4. ผ่านไปราว ๆ 1 สัปดาห์ กลีบจะเริ่มเฉาจนหมด ฐานรองดอกก็จะเปลี่ยนเป็นฝักครับ หากผสมไม่ติดจะกลายเป็นสีเหลืองและร่วงไปในที่สุด
เกร็ด : ในการผสมกล้วยไม้ อายุฝักจะขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด บางชนิดถือฝักเป็นปี บางชนิดถือฝักเพียง 5-6 เดือน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจดวันที่ผสมติดป้ายเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝักแตกก่อน หากฝักแตกแล้ว เราจะไม่สามารถนำส่งเพาะแล็ปกล้วยไม้ได้ !
ดูอย่างไรว่าฝักแก่ ไม่แก่ ?
วิธีการดูฝักนั้นไม่ยากเลยครับ ฝักที่แก่แล้วจะเริ่มเปลี่ยนสี จากเขียวเป็นเหลือง และผิวฝักก็จะดูแก่ตามอายุฝักไปด้วยเช่น กัน มันก็เหมือนมนุษย์เรานี่แหละครับ เด็ก ๆ ผิวเต่งตึงดูมี น้ำมีนวล พอแก่แล้วก็ผิวแห้ง ไม่ชุ่มฉ่ำเหมือนเดิม ถ้าฝักแก่มากจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองตรงปลายจุกเดิมที่เคยมี กลีบดอกติดอยู่ครับ เมื่อแก่เต็มที่ บริเวณปลายฝักจะเริ่มแตก ออกก่อน และรอยแตกจะเริ่มยาวขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดครับ

ภาพที่ 1 คือฝักสายม่วงที่เกิดจากการผสมไปแล้ว 3 เดือนเศษ ๆ ฝักยังเขียวสวยเต่งตึง ภายในฝักยังคงเป็นเมล็ดอ่อนอยู่ ยังไม่พร้อมตัดส่งแล็ปเพาะพันธุ์
ภาพที่ 2 คือฝักสายม่วงต้นเดียวกัน แต่เวลาผ่านไปแล้วราว ๆ 13 เดือน (1ปี1เดือน) ฝักแก่เกินไปที่จัดตัดส่ง เนื่องจากตรงปลายฝักแตกไปเสียแล้ว
ภาพที่ 3 ฝักของสายม่วง 1 ปี 1เดือน ฝักเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ช่วงที่ฝักยังไม่แตกและอายุมากขนาดนี้สามารถตัดส่งเพาะได้แล้วครับ

ภาพที่ 1 คือฝักสายม่วงที่เกิดจากการผสมไปแล้ว 3 เดือนเศษ ๆ ฝักยังเขียวสวยเต่งตึง ภายในฝักยังคงเป็นเมล็ดอ่อนอยู่ ยังไม่พร้อมตัดส่งแล็ปเพาะพันธุ์
ภาพที่ 2 คือฝักสายม่วงต้นเดียวกัน แต่เวลาผ่านไปแล้วราว ๆ 13 เดือน (1ปี1เดือน) ฝักแก่เกินไปที่จัดตัดส่ง เนื่องจากตรงปลายฝักแตกไปเสียแล้ว
ภาพที่ 3 ฝักของสายม่วง 1 ปี 1เดือน ฝักเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ ช่วงที่ฝักยังไม่แตกและอายุมากขนาดนี้สามารถตัดส่งเพาะได้แล้วครับ
ภายในฝัก ?
เมื่อฝักกล้วยไม้แตกออก เราจะพบกับผงสีเหลือง ๆ ส้ม ๆ ผงเหล่านี้คือเมล็ดของกล้วยไม้ครับ เมล็ดนับล้านเมล็ดนี้ จะปลิวไปตกตามบริเวณต่าง ๆ ของต้นไม้ในป่า และจะงอกเป็นกล้วยไม้ต้นใหม่ แต่จะงอกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความชื้น และ แสงที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน

เมล็ดของกล้วยไม้แทบทุกสายพันธุ์พอลองส่องด้วยกล้องแล้วน่าตาก็จะคล้าย ๆ กันครับ ในภาพเป็นเมล็ดของกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิด ดูไปดูมาละม้ายคล้ายหัวมดแดงที่ชอบทำรังบนมะม่วงเลย ส่วนเมล็ดของสกุลหวายจะละคล้าย ๆ กับไข่ของเหา ครับเพียงแต่เป็นสีส้มเท่านั้น
TIP : เมล็ดกล้วยไม้ทีเป็นผงนี้ หากนำไปโรยบนเครื่องปลูกรองเท้านารีหรือรากชายผ้าสีดา หากมีความชื้นเหมาะสม จะงอกเป็นต้นใหม่เอง อย่างน้อย 2 - 5 ต้น ครับ
จบเพียงเท่านี้ หวังว่าเพื่อน ๆ จะมีความสุขกับการเลี้ยงกล้วยไม้มากขึ้นไปอีกนะครับ ! byhttp://www.orchidtropical.com/articleid13.php

เมล็ดของกล้วยไม้แทบทุกสายพันธุ์พอลองส่องด้วยกล้องแล้วน่าตาก็จะคล้าย ๆ กันครับ ในภาพเป็นเมล็ดของกล้วยไม้สกุลกุหลาบกระเป๋าเปิด ดูไปดูมาละม้ายคล้ายหัวมดแดงที่ชอบทำรังบนมะม่วงเลย ส่วนเมล็ดของสกุลหวายจะละคล้าย ๆ กับไข่ของเหา ครับเพียงแต่เป็นสีส้มเท่านั้น
TIP : เมล็ดกล้วยไม้ทีเป็นผงนี้ หากนำไปโรยบนเครื่องปลูกรองเท้านารีหรือรากชายผ้าสีดา หากมีความชื้นเหมาะสม จะงอกเป็นต้นใหม่เอง อย่างน้อย 2 - 5 ต้น ครับ
จบเพียงเท่านี้ หวังว่าเพื่อน ๆ จะมีความสุขกับการเลี้ยงกล้วยไม้มากขึ้นไปอีกนะครับ ! byhttp://www.orchidtropical.com/articleid13.php
กล้วยไม้ กับ Cites
กล้วยไม้ กับ Cites

ไซเตส (CITES) คือ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on lnternationalTradein Endangered Species of Wild Fauna and Flora)
การ อนุรักษ์เป็นการจัดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ สูงสุดและยั่งยืนที่สุดที่สามารถทำได้ และควรคุ้มครองไว้เพื่อประโยชน์ของชนรุ่นนี้และอนุชนรุ่นต่อไป ดังนั้นประชาชนและประเทศต่างๆ สมควรเป็นผู้ให้ความคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าของตนดีที่สุด รวมทั้งความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าบางชนิดเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ประโยชน์ เกินสมควร จากการค้าระหว่างประเทศ และประเทศภาคีในอนุสัญญาฯ จึงตระหนักถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาของสัตว์ ป่าและพืชป่าในด้านสุนทรียภาพ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม การพักผ่อนหย่อนใจ และเศรษฐกิจ อนุสัญญาฯ ได้กำหนดกรอบการปฏิบัติระหว่างประเทศในการทำการค้าชนิดพันธุ์ที่กำลังจะสูญ พันธุ์ โดยกำหนดให้ประเทศภาคีที่เป็นผู้ส่งออกและประเทศผู้นำเข้ามีความรับผิดชอบ ร่วมกันในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
สาเหตุของ การมีอนุสัญญาไซเตส เนื่องมาจากปริมาณและมูลค่าการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าทั่วโลกมีปริมารและ มูลค่ามหาศาลมีผลโดยตรงและโดยอ้อม ต่อประชาชนในธรรมชาติทำให้ลดลงอย่างรวดเร็วจนบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ มีการลักลอบทำการค้ารองลงมาจากการค้ายาเสพติด เป้าหมาย & เจตนารมณ์ของอนุสัญญาไซเตส เพื่อต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าในโลกเพื่อประโยชน์แห่งมวล มนุษย์ชาติของชนรุ่นนี้ และอนุชนรุ่นต่อไปโดยเน้นทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้จะสูญพันธุ์หรือถูก คุกคามจนอาจเป็นเหตุให้สูญพันธุ์ได้ในอนาคตโดยสร้างเครือข่ายทั่วโลกในการ ควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งสัตว์ป่าและพืชป่าตลอดจนผลิตภัณฑ์
กล้วยไม้ทุกชนิดจัดว่าเป็นพืชอนุรักษ์ตามพระราช บัญญัติพันธุ์พืช พศ. 2518 ประเทศไทยมีความหลากหลายพืชในวงศ์กล้วยไม้เป็นจำนวนมาก มีมากถึง 174 สกุล ประมาณ 1,236 ชนิด ปัจจุบันมีผู้นิยมปลูกเลี้ยงเพื่อการค้ามากขึ้น บางครั้งกล้วยไม้ถูกลักลอบนำออกมาจากป่า ทำให้ประชากรในธรรมชาติลดลงอย่างน่าเป็นห่วง และบางชนิดใกล้สูญพันธุ์
การ อนุรักษ์เป็นการจัดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ สูงสุดและยั่งยืนที่สุดที่สามารถทำได้ และควรคุ้มครองไว้เพื่อประโยชน์ของชนรุ่นนี้และอนุชนรุ่นต่อไป ดังนั้นประชาชนและประเทศต่างๆ สมควรเป็นผู้ให้ความคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าของตนดีที่สุด รวมทั้งความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าบางชนิดเพื่อไม่ให้เกิดการใช้ประโยชน์ เกินสมควร จากการค้าระหว่างประเทศ และประเทศภาคีในอนุสัญญาฯ จึงตระหนักถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาของสัตว์ ป่าและพืชป่าในด้านสุนทรียภาพ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม การพักผ่อนหย่อนใจ และเศรษฐกิจ อนุสัญญาฯ ได้กำหนดกรอบการปฏิบัติระหว่างประเทศในการทำการค้าชนิดพันธุ์ที่กำลังจะสูญ พันธุ์ โดยกำหนดให้ประเทศภาคีที่เป็นผู้ส่งออกและประเทศผู้นำเข้ามีความรับผิดชอบ ร่วมกันในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
สาเหตุของ การมีอนุสัญญาไซเตส เนื่องมาจากปริมาณและมูลค่าการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าทั่วโลกมีปริมารและ มูลค่ามหาศาลมีผลโดยตรงและโดยอ้อม ต่อประชาชนในธรรมชาติทำให้ลดลงอย่างรวดเร็วจนบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ มีการลักลอบทำการค้ารองลงมาจากการค้ายาเสพติด เป้าหมาย & เจตนารมณ์ของอนุสัญญาไซเตส เพื่อต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าในโลกเพื่อประโยชน์แห่งมวล มนุษย์ชาติของชนรุ่นนี้ และอนุชนรุ่นต่อไปโดยเน้นทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้จะสูญพันธุ์หรือถูก คุกคามจนอาจเป็นเหตุให้สูญพันธุ์ได้ในอนาคตโดยสร้างเครือข่ายทั่วโลกในการ ควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งสัตว์ป่าและพืชป่าตลอดจนผลิตภัณฑ์
กล้วยไม้ทุกชนิดจัดว่าเป็นพืชอนุรักษ์ตามพระราช บัญญัติพันธุ์พืช พศ. 2518 ประเทศไทยมีความหลากหลายพืชในวงศ์กล้วยไม้เป็นจำนวนมาก มีมากถึง 174 สกุล ประมาณ 1,236 ชนิด ปัจจุบันมีผู้นิยมปลูกเลี้ยงเพื่อการค้ามากขึ้น บางครั้งกล้วยไม้ถูกลักลอบนำออกมาจากป่า ทำให้ประชากรในธรรมชาติลดลงอย่างน่าเป็นห่วง และบางชนิดใกล้สูญพันธุ์

นอกจากนี้กล้วยไม้ป่าจัดเป็นของป่าหวงห้ามตามพระราช บัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ด้วย ห้ามค้าทุกจำนวนหรืออนุญาติให้ครอบครองได้ไม่เกิน 20 ต้น
ดังนั้นการส่งออกกล้วยไม้ทุกชนิดต้องมาจากกล้วยไม้ที่ได้มาจากการผสมพันธุ์ เทียมเท่านั้น และจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะเลี้ยงเพื่อการค้าจากกรม วิชาการเกษตร
การขยายพันธุ์พืชอนุรักษ์จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
๏ ต้องคงจำนวนพ่อแม่พันธุ์
๏ พ่อ-แม่พันธุ์ที่ใช้ขยายพันธุ์ต้องได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย
๏ ต้องควบคุมสภาวะแวดล้อมของโรงเรือน เช่นการใช้ปุ๋ย การพรางแสง การจำกัดศัตรูพืช ฯลฯ
การขยายพันธุ์เทียมกล้วยไม้ เป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืชอย่างยั่งยืน และเป็นการอนุรักษ์กล้วยไม้ให้อยู่ตามธรรมชาติ เพื่ออนุชนรุ่นหลังสืบไป การเลือกซื้อกล้วยไม้เพื่องานอดิเรกหรือการค้า ควรเลือกซื้อเฉพาะตัวอย่างที่ได้มาจากการผสมพันธุ์เทียมเท่านั้น ควรละเว้นการซื้อขายกล้วยไม้ป่า หรือสภาพที่ได้มาจากป่า by. http://www.orchidtropical.com/articleid50.php
ดังนั้นการส่งออกกล้วยไม้ทุกชนิดต้องมาจากกล้วยไม้ที่ได้มาจากการผสมพันธุ์ เทียมเท่านั้น และจะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนสถานที่เพาะเลี้ยงเพื่อการค้าจากกรม วิชาการเกษตร
การขยายพันธุ์พืชอนุรักษ์จะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
๏ ต้องคงจำนวนพ่อแม่พันธุ์
๏ พ่อ-แม่พันธุ์ที่ใช้ขยายพันธุ์ต้องได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย
๏ ต้องควบคุมสภาวะแวดล้อมของโรงเรือน เช่นการใช้ปุ๋ย การพรางแสง การจำกัดศัตรูพืช ฯลฯ
การขยายพันธุ์เทียมกล้วยไม้ เป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืชอย่างยั่งยืน และเป็นการอนุรักษ์กล้วยไม้ให้อยู่ตามธรรมชาติ เพื่ออนุชนรุ่นหลังสืบไป การเลือกซื้อกล้วยไม้เพื่องานอดิเรกหรือการค้า ควรเลือกซื้อเฉพาะตัวอย่างที่ได้มาจากการผสมพันธุ์เทียมเท่านั้น ควรละเว้นการซื้อขายกล้วยไม้ป่า หรือสภาพที่ได้มาจากป่า by. http://www.orchidtropical.com/articleid50.php
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)